หากเราเลยลองคิดจะเก็บเงินสักก้อนนึงเพื่อไปซื้อของหรือเพื่อไปเที่ยวกับครอบครัว แต่กลับพบว่าไปๆมาๆ เราไม่สามารถเก็บเงินได้เลย ทั้งที่เราก็คิดจะเก็บเงินแต่ก็ไม่เคยเหลือเก็บได้สักที แต่วันนี้ผมมีหนังสือเล่มนึงที่จะช่วยให้การเก็บเงินของเรานั้นง่ายยิ่งขึ้น นั่นก็คือ “The Automatic Millionaire” หรือ “เศรษฐีเงินล้านอัตโนมัติ” เขียนโดย David Bach ผมเห็นหนังสือเล่มนี้มาหลายครั้งแล้วจนในที่สุดก็ได้ซื้อมาอ่าน
เมื่ออ่านไปไม่กี่บทผมก็รู้สึกได้ว่าวิธีการที่สอนในหนังสือนั้นเรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพมากอย่างคาดไม่ถึง และด้วยวิธีการนี้เองที่จะทำให้การเก็บเงินของเรานั้นเป็นไปอย่างอัตโนมัติ ทำงานได้ด้วยตัวมันเอง โดยที่เราลงมือทำเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ผมจึงอยากนำหลักการในหนังสือมาสรุปให้ลองทำกันดู
1. จ่ายให้ตัวเองก่อน
เราคงเคยได้ยินกันมาไม่น้อยแล้ว เกี่ยวกับการจ่ายให้ตัวเองก่อน ซึ่งมันก็สำคัญจริงๆนั้นแหละครับ เพราะแทนที่เราจะเอาเงินเดือนที่เราใช้เวลาและแรงงานไปแลกมาไปใช้จนหมด ก็ให้เราหักเงินเก็บเอาไว้ก่อนเลย โดยต้องหักก่อนจะนำเงินไปใช้เท่านั้น อย่าคิดว่าจะเก็บเงินที่เหลือจากการใช้โดยเด็ดขาด เพราะมันไม่เคยมีเงินเหลือ ซึ่งถ้าอยากให้ตอนอายุเยอะๆเรามีเงินเก็พอจะเลี้ยงตัวเองได้ก็ให้เก็บเดือนละ 10% เป็นอย่างน้อย
แต่บางคนอาจจะบอกว่าไม่ไหวหรอก 10% แค่ทุกวันนี้ก็จะไม่มีกินอยู่แล้ว อย่าเพิ่งยอมแพ้ครับ ไหนๆก็ไม่มีกินอยู่แล้วก็กัดฟันยอมอดอีกสักหน่อยเพื่ออนาคตตอนที่เราแก่จนทำงานไม่ไหวแล้วกัน อาจจะเริ่มจาก 3% ของเงินเดือนก่อนก็ได้ครับ จากนั้นค่อยไป 5% 7% 10% 13% 15%(คนมีอันจะกิน) 20%(คนรวย) ค่อยเก็บไปครับ พอเรารู้สึกว่าเราเก็บเงินเท่านี้สบายๆแล้วก็ลองเก็บเพิ่มดูอีกสักหน่อย ถ้าใครจะเก็บเกิน 20% ก็ได้นะครับ แต่ก็อย่าตึงเกินไป เดี๋ยวจะตบะแตกใช้เงินเก็บจนหมด
2. ทำให้เป็นอัตโนมัติ
นี่คือเรื่องหลักของหนังสือเล่มนี้เลยครับ การทำให้การเก็บเงินเป็นเรื่องอัตโนมัติจะทำให้เราสามารถเก็บเงินได้ทุกเดือนโดยไม่ต้องห่วงและเราจะไม่ลำบากในการใช้เงินด้วย เพราะเราจะไม่ใช้ในสิ่งที่เราไม่มี วิธีการก็คือทำการติดต่อธนาคารเพื่อตัดเงินจากบัญชีเงินเดือนของเราไปยังบัญชีเงินเก็บทุกเดือน ควรตัดเงิน 1 วันหลังเงินเดือนออก การโอนเงินอัตโนมัติจะดีตรงที่เราไม่ต้องเสียเวลาไปต่อคิวหรือไปที่ตู้ ATM บางครั้งเรามีใจไปแล้วแต่ดันขี้เกียจเลยทำให้ไม่ค่อยอยากจะทำเท่าไหร่ จึงทำให้การเก็บเงินดูเหมือนเป็นเรื่องยาก
3. Latte Factor
เราเคยลองคำนวนกันไหมว่ากาแฟที่เราซื้อกินกันทุกๆวันเนี่ย รวมๆแล้วมันเป็นเงินจำนวนเท่าไหร่ เอาง่ายๆแล้วกัน สมมติเรากินกาแฟทุกเช้าแก้วละ 30 บาท (ซึ่งหายากมากแล้ว ปกติ 40-100 ทั้งนั้น) เราทำงาน 25 วันโดยประมาณ เดือนๆนึงเราจะเสียเงินให้กาแฟถึง 750 บาท ปีนึงก็ 9000 บาท เริ่มรู้สึกว่าเยอะแล้วใช่ไหมครับ 10 ปีก็แค่ 90000 เอง!!! คิดง่ายๆก็เกือบจะดาวน์บ้านดาวน์รถได้เลยนะครับ แล้วยิ่งเราเอาเงินไปลงทุนด้วยแล้วล่ะก็ มูลค่าของมันก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ยกตัวอย่างเช่น แทนที่จะซื้อกาแฟแต่นำเงินจำนวนเท่านี้ไปลงทุนแทนให้ได้ผลตอบแทนปีละ 10% ทุกปีมาดูกันว่าเราจะได้เงินเท่าไหร่
1 ปี 9000 บาท + ดอกเบี้ย 10 % = 9900 บาท
2 ปี 18900 บาท (9900 + 9000) + ดอกเบี้ย 10 % = 20790 บาท
3 ปี 29790 บาท (20790 + 9000) + ดอกเบี้ย 10 % = 32769 บาท
4 ปี 41769 บาท (32769 + 9000) + ดอกเบี้ย 10 % = 45945 บาท
5 ปี 54945 บาท (45945 + 9000) + ดอกเบี้ย 10 % = 60440 บาท
10 ปี 143436 บาท + ดอกเบี้ย 10 % = 157780 บาท!!!!!
นี่คือมูลค่าของกาแฟ 10 ปี ครับ 157780 บาท แค่เห็นก็เสียดายแล้ว แต่!!! เราไม่เคยมองเห็นครับ เพราะเราคิดว่าแค่กาแฟแก้วเดียวไม่เป็นไรหรอกน่า เราเลยไม่สนใจที่เก็บเงินก้อนนี้ และ Latte Factor ไม่ใช่แค่การกินกาแฟเท่านั้น ยังรวมถึงค่าใช้จ่ายเล็กๆน้อยๆที่เราจ่ายเป็นประจำแต่ไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์กับเราเลย ซึ่งนี่คือเงินที่ซ้อนอยู่ บางทีเงินก้อนนี้อาจจะช่วยให้เราใช้ชีวิตในตอนเกษียณได้อย่างสบายๆก็ได้
4. อย่าจ่ายแค่ขึ้นต่ำ
ลองนึกดูว่าถ้ามีใบแจ้งหนี้บัตรเครดิตเข้ามาเราจะทำอย่างไรกับมัน จ่ายขึ้นต่ำ!!! นั่นคือสิ่งที่เราคิดแต่หารู้ไม่ว่าการจ่ายขึ้นต่ำนั้นยิ่งจะทำให้เราเป็นหนี้นานขึ้นและบริษัทปล่อยสินเชื่อก็จะยิ่งได้เงินจากเรานานขึ้น เพราะการจ่ายขั้นต่ำนั้นจะนำเงินไปหักเงินต้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนใหญ่แล้วจะไปอยู่ที่ดอกเบี้ยหมด ดังนั้นเราควรจะรีบจ่ายหนี้ให้หมดโดยเร็วที่สุด หรืออย่างน้อยก็ควรจะเกิน 1.5 เท่าของเงินขึ้นต่ำเพื่อให้เราหมดหนี้เร็วที่สุด (ไม่งั้นโดนดอกเบี้ยกินหมดแน่นอน)
หากใครอยากได้หนังสือที่ช่วยให้เราสามารถเก็บเงินได้ง่ายขึ้นผมขอแนะนำเล่มนี้ “The Automatic Millionaire” หรือ “เศรษฐีเงินล้านอัตโนมัติ” หลักการในหนังสือสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง ไม่ยากจนเกินไป แล้วคุณจะรู้ว่าการเก็บเงินเป็นเรื่องง่ายๆ