พอดีเมื่อวันก่อนผมได้ไปดูหนังเรื่อง The Secret Life of Walter Mitty (ชีวิตพิศวงของวอลเตอร์ มิตตี้) ตัวหนังเล่าถึง มิตตี้ เขาเป็นผู้ลำดับภาพนิ่งให้กับนิตยสาร Life เขาก็ทำงานเหมือนเรานั้นแหละ ตื่นแต่เช้าขึ้นรถแน่นๆมาทำงาน และกลับบ้านในตอนเย็นเหมือนเช่นทุกวัน แต่มิตตี้ต่างจากคนอื่นตรงที่ว่าเขามักจะเกิดอาการ คิดไปเอง หรือ ที่เรียกง่ายๆว่า สภาวะหลุดโลก โดยเขามักจะคิดว่าตัวเองได้ทำอะไรที่ท้าทาย ตื่นเต้น อยากป็นผู้กล้าที่มีความมั่นใจ อยากมีความรักที่ชวนหลงใหล และสามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆได้ อาการแบบนี้จึงทำให้เขาถูกเพื่อนร่วมการล้อเป็นประจำ จนวันหนึ่งเขาต้องตกที่นั่งลำบาก เมื่อภาพที่ต้องลงเป็นปกนิตยสารฉบับสุดท้ายหายไป เขาจึงต้องออกเดินทางไปหาช่างกล้องที่ถ่ายรูปของนิตยสารให้พบ ออกไปเจอโลกใบใหม่ที่แตกต่าง ออกไปจากเส้นทางเดิมๆของเขา
จบเรื่องหนังไว้ก่อนแล้วกันนะครับ กลับมาเรื่องของเรากันดีกว่า พอดูหนังจบผมก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า อนาคตเราจะเป็นยังไง เราจะทำงานแบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่ แก่แล้วเราจะเอาเงินที่ไหนกินข้าว หรือทำไมตอนนี้เราต้องทำงาน คำถามเกี่ยวกับชีวิตมากมายได้หลั่งไหลเข้ามาสู่สมองอันน้อยๆของผม
ตั้งแต่เกิดมาแทบจะไม่เคยเลือกอะไรให้ตัวเอง เรียกได้ว่าปล่อยให้ชะตาพัดพาไปตามทาง จนมาถึงตอนนี้ ทำให้เราคิดได้ว่า เรายังไม่มีแผนการในชีวิตเลยนะ เราไม่เคยวาดแผนที่อนาคตของเราไว้เลยว่าจะให้มันเป็นยังไง ทั้งเรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องความรัก เรื่องครอบครัว เรื่องสิ่งที่เราอยากจะทำจริงๆ
The Secret Life of Walter Mitty ไม่ใช่หนังที่ทำให้ผมคิดเรื่องนี้ได้เป็นเรื่องแรก เพราะก่อนหน้านี้ผมก็อ่านหนังสือแนวนี้มาหลายๆเล่ม แต่หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ทำให้ผมเห็นภาพมากที่สุด ทำให้เห็นว่า จริงๆแล้วผมอยากจะมีอนาคตแบบไหนกันแน่ ผมอยากจะเป็นอะไร ผมอยากจะมีอะไร
มันยังไม่สายครับ สำหรับการเริ่มต้นอะไรสักอย่าง มันไม่มีคำว่าสายเกินไป หยิบกระดาษปากกาขึ้นมาครับ แล้วเขียนลงไป ไม่ว่าความฝันนั้นจะบ้าบอ หรือไม่มีทางเป็นไปได้ขนาดไหน จงเขียนลงไป เพราะนั้นคือความฝันของเรา แล้วดูกระดาษแผ่นนั้นทุกวันเพื่อให้เราเชื่อว่าเราทำได้ ถ้าเชื่อแล้วเราจะสามารถหาเส้นทางที่จะทำให้มันสำเร็จได้เองครับ เรามาสร้างชีวิตพิศวงของเราเองกันเถอะครับ